การลงทุนและอิสระภาพทางการเงิน


โบรกเกอร์ forex ที่น่าเชือถือในประเทศไทยปี 2025

การเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมีโบรกเกอร์จำนวนมากในตลาด การพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและลดความเสี่ยงได้ วันนี้เราจึงรวบรวมโบรกเกอร์ที่น่าสนใจมานำเสนอกันครับ โดยเริ่มต้นมีหลายประเด็นที่ควรพิจารณาหลักๆ ดังนี้ 1. การกำกับดูแลและใบอนุญาต ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์ได้รับการกำกับดูแลโดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ไซปรัส), หรือ FCA (สหราชอาณาจักร) การกำกับดูแลช่วยให้มั่นใจได้ว่าโบรกเกอร์ปฏิบัติตามมาตรฐานทางการเงินและปกป้องเงินทุนของลูกค้า การเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานเหล่านี้เป็นการรับรองว่าโบรกเกอร์มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด และมีมาตรฐานที่สามารถไว้ใจได้ในการดำเนินธุรกิจและปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้า

...อ่านต่อ
เริ่มต้นเขียน EA บน MT4 ด้วยภาษา MQL4 ฉบับมือใหม่

MQL4 และ MT4 คืออะไร? MQL4 (MetaQuotes Language 4) เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมที่ใช้สำหรับสร้าง Expert Advisors (EA), Indicators, Scripts และ Custom Functions บน MetaTrader 4 (MT4) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขาย Forex ยอดนิยม MetaTrader 4 (MT4) – เป็นซอฟต์แวร์สำหรับการเทรด Forex และ CFD ที่มีเครื่องมือวิเคราะห์กราฟและรองรับการเทรดอัตโนมัติ MQL4 – เป็นภาษาสำหรับการพัฒนา EA เพื่อทำการเทรดอัตโนมัติหรือสร้างอินดิเคเตอร์เฉพาะตัว วิธีเริ่มต้นเขียน EA บน MT4 1. ติดตั้ง MetaTrader 4 และ MetaEditor ดาวน์โหลด MT4 จากโบรกเกอร์ที่ใช้งาน เปิด MT4 แล้วกด F4 เพื่อเปิด MetaEditor (ตัวแก้ไขโค้ดสำหรับ MQL4)

...อ่านต่อ
Myfxbook คืออะไร? และวิธีการผูกบัญชีเทรดกับ Myfxbook

Myfxbook เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยนักเทรด Forex วิเคราะห์และติดตามผลการเทรดของตนเองโดยอัตโนมัติ โดยสามารถดูสถิติแบบละเอียด เช่น อัตรากำไร, Drawdown, Risk-to-Reward, จำนวนการเทรดที่ชนะหรือแพ้ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพอร์ตการลงทุน หน้าที่ของ Myfxbook ติดตามผลการเทรด – แสดงสถิติการเทรดอย่างละเอียด วิเคราะห์ข้อมูล – มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์แนวโน้มและกลยุทธ์ คัดลอกเทรด (AutoTrade) – ให้สามารถคัดลอกเทรดเดอร์ที่มีผลการเทรดดี แชร์และเปรียบเทียบผลงาน – สามารถแชร์พอร์ตการลงทุนให้ผู้อื่นดู หรือเปรียบเทียบกับเทรดเดอร์คนอื่น ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ – ใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพของบัญชีเทรดก่อนลงทุนกับผู้ให้บริการสัญญาณ

...อ่านต่อ


ไลฟ์สไตล์และท่องเที่ยว


สถานี Supercharger ของ Tesla ในประเทศไทย

Tesla Supercharger คือ เครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ DC Fast Charge (ชาร์จเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง) ที่ Tesla สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับเจ้าของรถยนต์ Tesla ทั่วโลก เป้าหมายหลักของ Supercharger คือการมอบความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการชาร์จ ทำให้เจ้าของรถ Tesla สามารถเดินทางระยะไกลได้อย่างไร้กังวล คุณสมบัติและสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tesla Supercharger ความเร็วในการชาร์จสูง: Supercharger สามารถจ่ายพลังงานได้สูง ทำให้สามารถชาร์จรถ Tesla จากแบตเตอรี่ระดับต่ำไปถึงระดับที่ใช้งานได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยรุ่น V3 Supercharger ในปัจจุบันสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดถึง 250 kW ซึ่งสามารถเพิ่มระยะทางวิ่งได้ถึง 200 ไมล์ (ประมาณ 320 กิโลเมตร) ภายในเวลาเพียง 15 นาที (ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและสถานะแบตเตอรี่) เครือข่ายครอบคลุม: Tesla ได้ลงทุนสร้างเครือข่าย Supercharger อย่างกว้างขวางทั่วโลก ตามเส้นทางการเดินทางหลักและในเมืองสำคัญต่างๆ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงสถานีชาร์จได้อย่างสะดวก ใช้งานง่าย: การใช้งาน Supercharger นั้นง่ายดาย เพียงแค่เสียบสายชาร์จเข้ากับรถ ระบบจะทำการระบุรถและเริ่มการชาร์จโดยอัตโนมัติ (สำหรับรถ Tesla รุ่นใหม่ๆ ที่มีการตั้งค่าการชำระเงินในแอปพลิเคชันแล้ว) ระบบนำทางในรถยนต์: รถยนต์ Tesla ทุกคันมีระบบนำทางที่สามารถระบุตำแหน่งสถานี Supercharger ที่ใกล้ที่สุด และวางแผนการเดินทางโดยคำนึงถึงจุดชาร์จระหว่างทางได้ ค่าบริการ: การชาร์จที่สถานี Supercharger มีค่าบริการ ซึ่งจะคิดตามปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ (บาทต่อ kWh) หรืออาจคิดตามเวลาในการชาร์จในบางพื้นที่ ราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสถานีและช่วงเวลา Idle Fee (ค่าจอดแช่): หากรถชาร์จเต็มแล้วแต่ยังคงจอดอยู่ที่ช่องจอด Supercharger จะมีการคิดค่า Idle Fee เพื่อให้ผู้ใช้งานคนอื่นๆ สามารถเข้าใช้สถานีได้ Supercharger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่น: ในบางสถานี Tesla ได้เริ่มเปิดให้รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่นที่รองรับหัวชาร์จ CCS สามารถใช้งาน Supercharger ได้ (อาจต้องใช้แอปพลิเคชัน Tesla ในการจัดการการชำระเงิน)

...อ่านต่อ
เทสลา โมเดล วาย 2025 - Tesla Model Y (Juniper) 2025

Tesla Model Y Juniper 2025 เป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นยอดนิยม โดยมีการปรับปรุงทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการขับขี่ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ในยุคใหม่ได้อย่างครบถ้วน ดีไซน์ภายนอกที่เฉียบคมและล้ำสมัย รูปลักษณ์ที่ได้รับการปรับปรุง: Juniper มาพร้อมกับการปรับปรุงดีไซน์ภายนอกให้มีความเฉียบคมและล้ำสมัยยิ่งขึ้น ไฟหน้าและไฟท้ายได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูเพรียวบางและดุดันมากขึ้น เส้นสายโดยรวมของตัวรถมีความไหลลื่นตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ รายละเอียดที่น่าดึงดูด: สังเกตได้ถึงการปรับปรุงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่มความหรูหราและสปอร์ตให้กับตัวรถ เช่น กันชนหน้าและหลังดีไซน์ใหม่ ล้ออัลลอยลายใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมบุคลิกของรถ และอาจมีสีตัวถังใหม่ๆ ให้เลือกเพื่อแสดงความเป็นตัวคุณ ความสะดวกสบายในการใช้งาน: นอกจากความสวยงามแล้ว Model Y Juniper ยังคงรักษาความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น ประตูท้ายไฟฟ้าที่เปิด-ปิดได้ง่ายดาย และพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้คุณพร้อมสำหรับทุกการเดินทาง ภายในห้องโดยสารที่หรูหราและเทคโนโลยีล้ำสมัย ดีไซน์ Minimalist ที่เน้นความสบาย: ภายในห้องโดยสารของ Juniper ยังคงเน้นดีไซน์แบบ Minimalist แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีความหรูหราและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น วัสดุที่ใช้มีความพรีเมียมมากขึ้น และการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เป็นระเบียบใช้งานง่าย หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่: หัวใจสำคัญของห้องโดยสารคือหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่กลางคอนโซล ที่ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ของรถได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง ระบบความบันเทิง การตั้งค่ารถ และอื่นๆ อีกมากมาย เทคโนโลยีที่เหนือกว่า: Autopilot และ Full Self-Driving (FSD): ระบบขับขี่อัตโนมัติที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น (FSD เป็นออปชันเพิ่มเติม) Over-the-Air Updates (OTA): รถของคุณจะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์อยู่เสมอ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับฟีเจอร์ใหม่ๆ และการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง Premium Connectivity: เชื่อมต่อโลกดิจิทัลได้อย่างราบรื่นด้วยระบบนำทางแบบเรียลไทม์ การสตรีมเพลงและวิดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย ระบบเสียงคุณภาพสูง: เพลิดเพลินกับประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยมด้วยระบบเสียงรอบทิศทางที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Model Y ความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร: พื้นที่วางขาที่กว้างขวาง เบาะนั่งที่ออกแบบมาอย่างดี และหลังคาแก้วพาโนรามาขนาดใหญ่ (บางรุ่น) ทำให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความสะดวกสบายและผ่อนคลาย สมรรถนะที่เร้าใจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลังขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ทรงพลัง: Model Y Juniper มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ให้แรงบิดมหาศาลและอัตราเร่งที่น่าประทับใจในทุกรุ่นย่อย คุณจะสัมผัสได้ถึงความคล่องตัวและการตอบสนองที่รวดเร็ว ระยะทางวิ่งที่น่าประทับใจ: ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง Juniper จะมีระยะทางวิ่งต่อการชาร์จหนึ่งครั้งที่ไกลขึ้น ทำให้คุณหมดกังวลเรื่องระยะทางในการเดินทาง การชาร์จที่สะดวกและรวดเร็ว: Tesla มีเครือข่าย Supercharger ที่ครอบคลุมทั่วโลก ทำให้การชาร์จรถของคุณเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้คุณยังสามารถชาร์จที่บ้านหรือที่สถานีชาร์จอื่นๆ ได้อีกด้วย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: การขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าหมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยที่เหนือชั้น โครงสร้างที่แข็งแกร่ง: Model Y ได้รับการออกแบบให้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องผู้โดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ระบบความปลอดภัยขั้นสูง: มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันและเชิงรับที่ทันสมัยมากมาย เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบเตือนการชน ระบบควบคุมเสถียรภาพ และถุงลมนิรภัยรอบคัน Vision Safety: ใช้กล้องและเซ็นเซอร์รอบคันเพื่อตรวจจับสภาพแวดล้อมและช่วยให้ระบบความปลอดภัยต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่น่าสนใจใน Model Y Juniper 2025 ที่น่าจับมองเราสรุปมาให้ดูกันครับว่าผู้อ่านชอบข้อดีไหนบ้าง เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย: สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น สมรรถนะที่เร้าใจ: สนุกกับการขับขี่ที่ทรงพลังและคล่องตัว พร้อมอัตราเร่งที่ทำให้คุณยิ้มได้ทุกครั้งที่กดคันเร่ง ดีไซน์ที่โดดเด่น: ทั้งภายนอกและภายในได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ให้ความรู้สึกหรูหราและล้ำสมัย ความสะดวกสบายในการใช้งาน: พื้นที่กว้างขวาง ฟังก์ชันที่ใช้งานง่าย และระบบชาร์จที่สะดวกสบาย ทำให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยพลังงานไฟฟ้าสะอาด Model Y Juniper 2025 ไม่ได้เป็นแค่รถยนต์ แต่เป็นประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า ผสมผสานเทคโนโลยี สมรรถนะ ความปลอดภัย และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว หากคุณกำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า SUV ที่ตอบโจทย์ทุกด้าน Model Y Juniper คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาดครับ

...อ่านต่อ
ชวนมาทำความรู้จัก ประวัติปราสาทโอซาก้า​ ประเทศญี่ปุ่น

ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle / 大阪城 - Ōsaka-jō) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นอีกด้วย ปราสาทโอซาก้าเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในยุคสงครามกลางเมืองญี่ปุ่น (ยุคเซ็นโกกุ) เพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองและแสดงถึงอำนาจของผู้นำในขณะนั้น ปัจจุบันปราสาทนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ต่างๆ และล้อมรอบด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เป็นจุดชมวิวและจุดถ่ายรูปยอดนิยม ประวัติความเป็นมาของปราสาทโอซาก้า เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1583 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ขุนพลผู้รวมประเทศญี่ปุ่น เขาสร้างปราสาทนี้บนพื้นที่เดิมของวัดอิชิยามะ ฮงกันจิ ฮิเดโยชิต้องการให้ปราสาทนี้เป็นศูนย์กลางอำนาจและใหญ่กว่าปราสาทอาซุจิของโอดะ โนบุนางะ ในปี 1615 ปราสาทถูกทำลายโดยโตกุงาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) หลังจากสงครามฤดูร้อนแห่งโอซาก้า ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในสมัยโชกุนโตกุงาวะ แต่ก็ได้รับความเสียหายจากฟ้าผ่าในปี 1665 ปัจจุบันที่เห็นอยู่เป็นโครงสร้างที่บูรณะขึ้นใหม่ ในปี ค.ศ. 1931 และมีการซ่อมแซมเพิ่มเติมจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ ประวัติของปราสาทโอซาก้า ไล่ลำดับตามเหตุการณ์ จุดเริ่มต้น: ยุคเซ็นโกกุ (Sengoku Period) ปี ค.ศ. 1583: โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) เริ่มก่อสร้างปราสาทโอซาก้า บนพื้นที่ของวัดเก่า อิชิยามะ ฮงกันจิ (Ishiyama Hongan-ji) ซึ่งเคยเป็นฐานของนิกายโจโดะ ชินชู และถูกโอดะ โนบุนางะทำลายลงในปี 1580 ฮิเดโยชิสร้างปราสาทโอซาก้าเพื่อแสดงอำนาจและเป็นฐานกำลังหลักของการรวมชาติ ปราสาทนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ปราสาทอาซุจิ (Azuchi Castle) ของโอดะ โนบุนางะ แต่สร้างใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า การก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ ปราสาทใช้หินขนาดยักษ์ และกำแพงหินสูงใหญ่เพื่อป้องกันข้าศึก ล้อมรอบด้วยคูน้ำสองชั้นและกำแพงหนา เพื่อป้องกันการโจมตี หอคอยหลัก (Tenshukaku) เดิมสูง 5 ชั้นด้านนอก (แต่ 8 ชั้นด้านใน) เป็นจุดที่สามารถมองเห็นเมืองได้ทั่ว ช่วงสงครามและการล่มสลายของตระกูลโทโยโทมิ ปี 1598: ฮิเดโยชิเสียชีวิต ลูกชายของเขา "โทโยโทมิ ฮิเดโยริ (Toyotomi Hideyori)" สืบทอดปราสาท ปี 1614-1615: สงครามฤดูหนาวและฤดูร้อนแห่งโอซาก้า (Osaka Winter & Summer Campaigns) โตกุงาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) โจมตีเพื่อล้างตระกูลโทโยโทมิ ในที่สุด ปราสาทถูกทำลาย และโทโยโทมิ ฮิเดโยริ กับแม่ของเขาฆ่าตัวตาย นี่ถือเป็นการสิ้นสุดของตระกูลโทโยโทมิ และเริ่มยุคสงบของโชกุนโตกุงาวะ การฟื้นฟูในยุคโตกุงาวะ ปี 1620-1629: โชกุนโตกุงาวะให้ฟื้นฟูปราสาทโอซาก้าใหม่ทั้งหมด สร้างหอคอยและสิ่งปลูกสร้างใหม่ แต่ไม่ได้เป็นศูนย์กลางการปกครองอีกต่อไป ปี 1665: หอคอยหลักถูกฟ้าผ่าทำให้ไฟไหม้และพังทลาย ไม่ได้บูรณะขึ้นใหม่ในช่วงนั้น ช่วงปลายยุคเอโดะ – ปฏิรูปเมจิ ปราสาทถูกใช้เป็นฐานทหารและคลังแสง หลังยุคโชกุนสิ้นสุดในปี 1868 และเริ่มยุคเมจิ ปราสาทถูกควบคุมโดยกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น อาคารจำนวนมากถูกรื้อทิ้ง ฟื้นฟูในยุคสมัยใหม่ ปี 1931: รัฐบาลเมืองโอซาก้าบูรณะหอคอยหลักขึ้นใหม่ โดยใช้โครงสร้างเหล็กและคอนกรีตแบบสมัยใหม่ พร้อมลิฟต์ สงครามโลกครั้งที่ 2: พื้นที่รอบปราสาทถูกโจมตีและได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิด ปี 1995-1997: มีการบูรณะครั้งใหญ่ให้คงสภาพตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิม และปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ทันสมัย ปราสาทโอซาก้าในปัจจุบัน เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกกุ ด้านบนสุดเป็นจุดชมวิว 360 องศา รอบๆ ปราสาทมีสวน Nishinomaru Park ที่เต็มไปด้วยดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เป็นหนึ่งในสถานที่ประวัติศาสตร์ที่คนญี่ปุ่นให้ความเคารพและนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด การท่องเที่ยวที่ปราสาทโอซาก้า เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. (เข้ารอบสุดท้ายก่อนปิด 30 นาที) ปิดเฉพาะช่วงสิ้นปี (ประมาณปลาย ธ.ค. ถึงต้น ม.ค.) สิ่งที่น่าสนใจภายในปราสาท: พิพิธภัณฑ์ที่แสดงประวัติของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ นิทรรศการเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สงครามและวัฒนธรรมในยุคนั้น จุดชมวิวที่ชั้นบนสุด สามารถมองเห็นเมืองโอซาก้าแบบพาโนรามา บริเวณรอบปราสาท: สวน Nishinomaru (นิชิโนะมารุ) ซึ่งมีต้นซากุระกว่า 600 ต้น บานในฤดูใบไม้ผลิ ลานกว้างเหมาะแก่การเดินเล่น ถ่ายภาพ ปิกนิก การเดินทาง: จากสถานี Osaka Castle Park (JR) หรือ Morinomiya Station (JR / Subway) เดินประมาณ 10 นาที

...อ่านต่อ
Tesla Model 3 หรือ Model Y เลือกรุ่นไหนดี ?

การเลือกระหว่าง Tesla Model 3 และ Model Y ขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการใช้งานของคุณ โดยทั้งสองรุ่นมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน Tesla Model 3 ข้อดี ราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า Model Y มีขนาดที่คล่องตัวกว่า เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง มีสมรรถนะการขับขี่ที่ปราดเปรียวและคล่องตัว วิ่งได้ระยะทางที่ไกลกว่า Model Y ในรุ่นแบตเตอรี่เดียวกัน ขับสนุกกว่า เพราะตัวรถเตี้ย น้ำหนักเบากว่า แอโรไดนามิกดีกว่า ประหยัดพลังงานกว่า วิ่งได้ไกลกว่า อัตราเร่งดีมาก (โดยเฉพาะรุ่น Performance) ข้อเสีย พื้นที่เก็บสัมภาระน้อยกว่า Model Y พื้นที่โดยสารตอนหลังอาจไม่กว้างขวางเท่า Model Y ระยะห่างจากพื้นที่ต่ำกว่า Model Y ที่นั่งต่ำกว่า อาจไม่สะดวกสำหรับผู้สูงอายุ Tesla Model Y ข้อดี มีพื้นที่เก็บสัมภาระและพื้นที่โดยสารที่กว้างขวางกว่า มีรูปลักษณ์แบบ SUV ที่ดูแข็งแกร่งและอเนกประสงค์ ระยะห่างจากพื้นมากกว่า Model 3 ทำให้ลุยทางขรุขระได้ดีกว่า ตำแหน่งที่นั่งสูงกว่า วิสัยทัศน์ดี นั่งสบายขึ้น มีรุ่น 7 ที่นั่ง (สำหรับครอบครัวใหญ่) ข้อเสีย ราคาสูงกว่า Model 3 มีขนาดที่ใหญ่กว่า ทำให้การขับขี่ในเมืองอาจไม่คล่องตัวเท่า Model 3 วิ่งได้ระยะทางที่สั้นกว่า Model 3 ในรุ่นแบตเตอรี่เดียวกัน อัตราเร่งช้ากว่านิดหน่อย ไม่คล่องตัวเท่า Model 3 ในการขับขี่โค้งแรงๆ การเลือก Tesla Model 3 หรือ Model Y ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักที่คุณให้ความสำคัญ เช่น งบประมาณ, ความสะดวกสบาย, การขับขี่, พื้นที่เก็บของ และ ประสิทธิภาพแบตเตอรี่

...อ่านต่อ
เที่ยวโอซาก้า ญี่ปุ่น 2025 (7 วัน) EP.3 เพลิดเพลินสวนสนุกในโลก Universal Studios Japan

ช่วงต้นปีของโอซาก้า มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นเป็นอีกหนึ่งฤดูที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวญี่ปุ่น สำหรับทริปการท่องเที่ยวต้นปีนี้เลือกที่จะไปท่องเที่ยวพักผ่อนต่างประเทศที่ญี่ปุ่นครับ และเมืองที่เลือกไปคีือ โอซาก้า พวกเรามีแพลนไปเที่ยวโอซาก้าทั้งหมด 7 วัน 6 คืน เริ่มออกเดินทางวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เวลาตี 1 ใช้เวลาเดินทางถึงสนามบิน Kansai International Airport จำนวน 6 ชั่วโมง ทริปนี้เราเลือกที่นั่ง Business ของสายการบิน Air Asia เป็นแบบเบาะนอนทำให้ตอนเราอยู่บนเครื่องบินไปถึงญี่ปุ่นไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการขึ้นเครื่อง เมื่อไปถึงญี่ปุ่นก็พร้อมลุยกันได้เลย นี่คือข้อดี

...อ่านต่อ


ความเชื่อและความศัทธา


ประวัติพญานาค และพญานาคมีกี่เหล่า ?

ประวัติพญานาค เป็นเรื่องราวที่สืบทอดกันมายาวนานในวัฒนธรรมของชาวไทย ลาว เขมร และกลุ่มชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในศาสนาพุทธและฮินดู ซึ่งมีทั้งในตำนาน ความเชื่อ และคำสอนทางศาสนา ในศาสนาฮินดู  พญานาคมีความสำคัญในเทพปกรณัมฮินดู โดยเป็นบริวารของเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระวิษณุบรรทมบนอนันตนาคราช (พญานาคที่มีหลายเศียร) ในเกษียรสมุทร วาสุกี พญานาคอีกตนหนึ่งถูกใช้เป็นเชือกในการกวนเกษียรสมุทรเพื่อสร้างน้ำอมฤต มีความเชื่อว่าพญานาคอาศัยอยู่ในบาดาลโลก ซึ่งเป็นโลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยสมบัติ ในพระพุทธศาสนา พญานาคมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในพุทธประวัติหลายครั้ง เช่น พญานาคตนหนึ่งชื่อมุจลินท์ได้แผ่พังพานบังฝนให้พระพุทธเจ้าขณะบำเพ็ญเพียร ในตำนานการสร้างพระธาตุสำคัญหลายแห่ง มักปรากฏเรื่องราวของพญานาคที่เข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องรักษาพระธาตุ พญานาคถือเป็นสัตว์กึ่งเทพ มีฤทธิ์เดช แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ จัดอยู่ในสุคติภูมิ สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ในวัฒนธรรมไทยและลาว: มีความเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าแห่งน้ำ อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำต่างๆ ปรากฏในตำนานพื้นเมือง นิทานปรัมปรา และพิธีกรรมต่างๆ เช่น บั้งไฟพญานาค มีการสร้างรูปเคารพพญานาคตามวัดวาอารามและสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อความสิริมงคลและการปกป้องคุ้มครอง ตามคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนา รวมถึงความเชื่อพื้นเมืองในภูมิภาคต่างๆ ได้มีการกล่าวถึงพญานาคไว้หลายตระกูลหรือเหล่า ซึ่งมีการจำแนกตามลักษณะสีผิวและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป หลักๆ แล้วมักจะแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ ดังนี้ 4 เหล่าพญานาค (จตุรนาค) เหล่า ลักษณะเด่น ที่อยู่ ความสามารถ วิรูปักข์ มีกายสีทอง อาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นราชาใหญ่แห่งนาคทั้งหมด แปลงกายได้เก่ง มีฤทธิ์มาก เอราปถ มีกายสีเขียว อยู่ในแผ่นดิน  มีอำนาจปกครองนาคชั้นสูง ฉัพยาปุตตะ มีกายสีรุ้ง อยู่ในน้ำ (แม่น้ำ ลำธาร) แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ กัณหาโคตมะ มีกายสีดำเข้ม หรือดำอมม่วง อยู่ใต้ดิน/บาดาล (นาคพิภพ) มีฤทธิ์ทางไสยศาสตร์ 1. ตระกูลวิรูปักษ์  เป็นพญานาคที่มีสีเขียวบ้างก็ว่ามีสีทอง มีฤทธิ์เดชมาก มักเป็นผู้นำของพญานาคทั้งปวง บางตำรากล่าวว่าเป็นพญานาคชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา 2. ตระกูลเอราปถ เป็นพญานาคที่มีสีน้ำเงิน บ้างก็ว่ามีสีม่วง มีความสามารถในการแปลงกายได้หลากหลาย และมีความเกี่ยวข้องกับน้ำ 3. ตระกูลฉัพพยาปุตตะ เป็นพญานาคที่มีสีรุ้ง หรือมีหลายสี บ้างก็ว่ามีสีทองคำ มีความสง่างามและมีฤทธิ์ในทางเมตตา 4 .ตระกูลกัณหาโคตมกะ   เป็นพญานาคที่มีสีดำ บ้างก็ว่ามีสีน้ำตาลเข้ม มีความดุดันและมีอำนาจในการทำลายล้าง

...อ่านต่อ
ประวัติผีเปรต กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรต

ผีเปรต เป็นผีในความเชื่อของชาวไทยและชาวพุทธในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในไทย ลาว และกัมพูชา มีลักษณะเฉพาะคือ รูปร่างสูงใหญ่ ผอมแห้ง ผิวดำปากเท่ารูเข็ม เสียงร้องคร่ำครวญเวทนา มักปรากฏตัวในเวลากลางคืนในป่า ชายป่า หรือวัดร้าง ประวัติและความเชื่อเกี่ยวกับ "ผีเปรต" ในพระพุทธศาสนา: คำว่า "เปรต" มาจากภาษาสันสกฤตว่า "เปฺรต" (प्रेत) และภาษาบาลีว่า "เปต" (peta) หมายถึง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือวิญญาณของผู้ตาย โดยเชื่อว่าเป็นภพภูมิหนึ่งในกามภูมิที่เรียกว่า "เปตภูมิ" หรือ "เปรตวิสัย" ซึ่งเป็นแดนแห่งความทุกข์ทรมานสำหรับผู้ที่เคยทำกรรมชั่วไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เคยทำบุญให้ทาน หรือเคยเบียดเบียนผู้อื่น หรือ "เปรต" มาจากภาษาบาลีว่า "เปตะ" (Peta) แปลว่า “ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว” แต่ในความหมายแคบหมายถึง “สัตว์ที่เกิดในเปรตภูมิ” ซึ่งเป็นหนึ่งใน อบายภูมิ 4 ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ในคติชนวิทยาไทย: ความเชื่อเรื่องเปรตในไทยได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา แต่ก็มีการผสมผสานกับความเชื่อพื้นเมืองเกี่ยวกับวิญญาณบรรพบุรุษและการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ลักษณะรูปร่างที่โดดเด่นของเปรตในความเชื่อไทย เช่น ตัวสูงผอม คอยาว ปากเล็ก อาจเป็นภาพจำลองของผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากความอดอยาก บทบาทในสังคมไทย: เปรตมีบทบาทสำคัญในการสอนเรื่องกฎแห่งกรรมและการทำบุญในสังคมไทย มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเปรตในวรรณกรรม จิตรกรรม และประเพณีต่างๆ เพื่อเตือนใจให้ผู้คนทำความดี ละเว้นความชั่ว และให้ความสำคัญกับการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เปรตเกิดจากผลของ กรรมชั่ว เช่น ลบหลู่คุณพ่อแม่ กล่าวร้ายพระสงฆ์ ยักยอกของสงฆ์ เบียดเบียนผู้อื่นอย่างรุนแรง ลักษณะของเปรตตามความเชื่อไทย ตัวสูงหลายศอก ผิวดำซีด ผอมแห้ง สูงชะลูดเหมือนต้นตาล ผอมโซ มีแต่หนังหุ้มกระดูก คอยาว ท้องโต มือใหญ่เท่าใบลาน แต่มีปากเล็กมากเท่ารูเข็ม กินอะไรก็ไม่ได้ เพราะเผาไหม้หรือกลายเป็นของอุจาด ร้องไห้โหยหวนอยู่เสมอเพราะความหิวและทุกข์ทรมาน หิวโหยอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถกินอาหารได้เนื่องจากปากเล็ก มักปรากฏตัวเพื่อขอส่วนบุญจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มักปรากฏในงานบุญต่างๆ ที่มีการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย หรือปรากฏในสถานที่ที่เคยทำความชั่วไว้

...อ่านต่อ
ตำนานผีกระสือ

ตำนานผีกระสือเป็นเรื่องเล่าพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลากหลายเรื่องราวและรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะร่วมกันประมาณนี้ครับ ลักษณะทั่วไปของผีกระสือ มีหัวและเครื่องใน กระสือมักถูกเล่าว่าเป็นผีผู้หญิงที่มีเพียงส่วนหัวและเครื่องใน (เช่น ไส้ หัวใจ ปอด) ที่ล่องลอยไปในเวลากลางคืน โดยไม่มีลำตัว และมีแสงเรือง หัวและเครื่องในของกระสือมักมีแสงเรืองสีเขียวหรือแดงออกมา ชอบ กินของโสโครก เชื่อกันว่ากระสือจะหากินของสกปรก เช่น อุจจาระ ซากสัตว์ หรือรกเด็ก กลัวสิ่งสกปรกและหนาม มีความเชื่อว่ากระสือกลัวสิ่งสกปรกและหนามแหลม ทำให้ชาวบ้านมักนำสิ่งเหล่านี้มาป้องกันบ้านเรือน ที่มาและตำนาน การทำผิดครู ตำนานหนึ่งเล่าว่ากระสือเกิดจากผู้หญิงที่เรียนวิชาอาคมแต่ทำผิดครู หรือควบคุมวิชาไม่ได้ ทำให้กลายเป็นผีที่มีเพียงหัวและเครื่องใน การกินของต้องห้าม อีกตำนานเล่าว่ากระสือเป็นผู้หญิงที่กินของต้องห้ามทางไสยศาสตร์ ทำให้ร่างกายกลายเป็นเช่นนั้น คำสาปแช่ง บางความเชื่อก็ว่ากระสือเกิดจากผู้หญิงที่ถูกสาปแช่ง ทายาท มีความเชื่อว่ากระสือสามารถถ่ายทอดความเป็นกระสือสู่ทายาทได้ โดยมักจะเป็นผู้หญิงในครอบครัว ความเชื่อและอิทธิพลทางวัฒนธรรม ความกลัวและการป้องกัน: ความเชื่อเรื่องกระสือทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ชาวบ้าน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน และนำไปสู่การคิดค้นวิธีการป้องกันต่างๆ นิทานและสื่อบันเทิง: เรื่องราวของกระสือเป็นที่นิยมในนิทานพื้นบ้าน ภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่างๆ ความหลากหลายในแต่ละภูมิภาค: ชื่อเรียกและลักษณะของผีที่มีความคล้ายคลึงกับกระสือปรากฏอยู่ในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น "Penanggalan" ในมาเลเซีย "Kuyang" ในอินโดนีเซีย และ "Ahp" ในกัมพูชา ซึ่งอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง โดยรวมแล้ว ตำนานผีกระสือเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อพื้นบ้านที่สะท้อนถึงความกลัว สิ่งลี้ลับ และการพยายามหาคำอธิบายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในสังคมไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

...อ่านต่อ
ประวัติของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาที่เรียบง่าย ณ บ้านสามเขา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปีมะโรง พ.ศ. 2447 การสูญเสียบุพการีตั้งแต่ยังเด็กนับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน แต่ในอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์นี้อาจเป็นปัจจัยที่หล่อหลอมให้ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง พึ่งพาตนเอง และมีความเมตตาต่อผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง การเติบโตภายใต้การดูแลของยายและพี่สาว ทำให้ท่านได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมตามแบบวิถีชาวบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตของท่านในภายหลัง แม้จะไม่ได้มีข้อมูลปรากฏชัดเจนเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กและการศึกษาเบื้องต้นของท่านมากนัก แต่เชื่อได้ว่าท่านได้รับการปลูกฝังในเรื่องของความกตัญญู ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการดำเนินชีวิตอย่างสมถะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่โดดเด่นในตัวท่านเมื่อเติบโตขึ้น การอุปสมบทและการศึกษาพระธรรมวินัย: เส้นทางสู่การเป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่ออายุครบบวช 21 ปี หลวงปู่ดู่ได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ณ วัดสะแก ซึ่งเป็นวัดสำคัญในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การอุปสมบทครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของท่าน การได้รับฉายา "พรหมปัญโญ" เป็นนิมิตหมายอันดีที่บ่งบอกถึงสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดและคุณธรรมที่สูงส่ง ภายใต้การดูแลของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ผู้ทรงคุณ และพระอาจารย์อื่นๆ ในวัดสะแก หลวงปู่ดู่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน ท่านให้ความสำคัญกับการศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติ ท่านไม่ได้เพียงแค่ท่องจำพระสูตรต่างๆ แต่ยังลงลึกในความหมายและนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หลวงปู่ดู่เป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ท่านดำรงตนอย่างสมถะ มีความสันโดษ มุ่งมั่นในการเจริญสมาธิภาวนา ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาพระธรรม ค้นคว้าหลักธรรมคำสอน และฝึกฝนจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส การปฏิบัติอย่างจริงจังนี้เองที่เป็นพื้นฐานสำคัญให้ท่านบรรลุธรรมในระดับสูง การปฏิบัติธรรมและการแสวงหาธรรม: ความเพียรที่ไม่ย่อท้อ หลวงปู่ดู่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ท่านมิได้ย่อท้อต่อความยากลำบากในการเจริญสมาธิภาวนา ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติในหลายแนวทาง เพื่อให้เข้าถึงสภาวะแห่งความสงบและความรู้แจ้ง ท่านมีความเพียรอย่างสม่ำเสมอในการฝึกจิตใจให้ตั้งมั่นและพิจารณาธรรมตามความเป็นจริง ในช่วงแรกของการบวช ท่านอาจจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากครูบาอาจารย์ในวัดสะแก และอาจมีการเดินทางเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณอื่นๆ เพื่อเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติที่หลากหลาย การเดินทางและการพบปะกับพระสงฆ์ผู้มีประสบการณ์ เป็นการเปิดโลกทัศน์และเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในธรรมะของท่านให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การเป็นที่เคารพศรัทธาและการเผยแผ่ธรรม: เมตตาธรรมที่แผ่ไพศาล ด้วยปฏิปทาอันงดงาม ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และเมตตาจิตที่เปี่ยมล้น ทำให้หลวงปู่ดู่เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง ผู้คนต่างหลั่งไหลมาขอคำแนะนำ ขอพร และร่วมทำบุญกับท่านอย่างไม่ขาดสาย หลวงปู่ดู่มิได้เพียงแต่เป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนเท่านั้น ท่านยังเป็นครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดธรรมะและแนวทางการปฏิบัติให้แก่ลูกศิษย์อย่างไม่ย่อท้อ ท่านสอนด้วยความเมตตา อดทน และเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีสติ การเจริญสมาธิภาวนา และการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า "คาถามหาจักรพรรดิ": มรดกธรรมอันล้ำค่า สิ่งที่ทำให้หลวงปู่ดู่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นคือการรจนา "คาถามหาจักรพรรดิ" ซึ่งเป็นบทสวดที่ได้รับการยกย่องว่ามีพุทธานุภาพสูง บทสวดนี้เป็นการรวมเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ มาไว้ด้วยกัน เชื่อกันว่าการสวดคาถานี้เป็นประจำจะช่วยเสริมบารมี ปรับภพภูมิให้ดีขึ้น เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และช่วยในการเจริญสมาธิภาวนา คาถามหาจักรพรรดิได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ลูกศิษย์และผู้ศรัทธา และยังคงเป็นบทสวดที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นมรดกธรรมอันล้ำค่าที่หลวงปู่ดู่ได้มอบไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ปัจฉิมวัยและการละสังขาร: การจากไปของพระอริยสงฆ์ ในวัยชรา หลวงปู่ดู่ยังคงปฏิบัติธรรมและให้คำแนะนำแก่ลูกศิษย์อย่างต่อเนื่อง แม้สังขารจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่จิตใจของท่านยังคงเข้มแข็งและเมตตา หลวงปู่ดู่ได้ละสังขารด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2533 สิริอายุ 85 ปี พรรษา 65 การจากไปของท่านสร้างความโศกเศร้าเสียใจให้กับลูกศิษย์และผู้ศรัทธาทั่วประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสังขารตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา สังขารของหลวงปู่ดู่ได้รับการตั้งบำเพ็ญกุศลเป็นเวลานานถึง 459 วัน ก่อนที่จะได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคารพและศรัทธาที่ประชาชนมีต่อท่านอย่างมากมาย คุณธรรมและจริยาวัตรที่โดดเด่น ความเมตตากรุณา: หลวงปู่ดู่เป็นพระสงฆ์ที่มีเมตตาจิตสูง ท่านให้ความช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ทุกคนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ความสมถะ: ท่านดำรงตนอย่างเรียบง่าย ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย: ท่านปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระสงฆ์และฆราวาส ความเพียรในการปฏิบัติธรรม: ท่านมีความมุ่งมั่นในการเจริญสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ การสอนธรรมะด้วยความเข้าใจ: ท่านสามารถถ่ายทอดหลักธรรมคำสอนให้เข้าใจง่าย และนำไปปฏิบัติได้จริง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นพระอริยสงฆ์ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง คำสอนและ "คาถามหาจักรพรรดิ" ของท่านยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน ประวัติชีวิตของหลวงปู่ดู่เป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติธรรม การมีเมตตา และการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

...อ่านต่อ
คาถาเงินล้านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

คาถาเงินล้านของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นคาถาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มที่ประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ตั้งจิตอธิษฐานให้แน่วแน่กราบพระ 3 ครั้ง ก่อนสวด นั่งสมาธิ หรืออย่างน้อยทำใจให้สงบ แล้วสวด หลวงพ่อฤๅษีลิงดำแนะนำว่า ควรสวดอย่างน้อย 9 จบ หรือสวดมากเท่าที่ต้องการ ควรสวดทุกวันสม่ำเสมอ เพื่อให้จิตใจเปิดรับโชคลาภอย่างต่อเนื่อง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม มิเตภาหุหะติ พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม สัมปะติจฉามิ เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ

...อ่านต่อ
ตำนานและประวัติผีปอป

ผีปอบ (Pop) เป็นหนึ่งในภูตผีพื้นบ้านของไทยที่มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ คนไทยเชื่อกันว่าผีปอบคือ ดวงวิญญาณเร่ร่อน หรือ วิญญาณร้าย ที่อาศัยอยู่ในร่างของคน และมีพฤติกรรม กินเครื่องในมนุษย์หรือสัตว์ เป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิต ลักษณะของผีปอบ ปอบมีลักษณะเหมือนคนธรรมดาในยามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาหิวจัดหรือเวลากลางคืน วิญญาณของปอบจะออกจากร่างเพื่อหาเหยื่อ สิ่งที่ปอบต้องการคือ ตับ ไต ไส้ พุง ของมนุษย์หรือสัตว์เล็ก บางตำนานเล่าว่า ปอบสามารถเข้าสิงร่างของคนอื่นได้ และแพร่พันธุ์โดยการ "ถ่ายทอด" ไปยังผู้อื่นผ่านพิธีกรรม ต้นกำเนิดของผีปอบ มีหลายตำนานอธิบายที่มาเช่น วิชาไสยศาสตร์ผิดครู เล่ากันว่าบางคนเรียนเวทมนตร์สายดำหรือไสยศาสตร์ แต่เมื่อผิดครู (ผิดสัจจะที่ให้ไว้กับครูบาอาจารย์) วิชาเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนกลายเป็น "ปอบ" วิญญาณปอบจึงเข้าสิงร่างของผู้ผิดครูนั้น และสืบต่ออยู่ไปเรื่อยๆ ความโลภ บางตำนานบอกว่าคนที่มีความโลภมาก อยากได้ของวิเศษหรืออำนาจ แต่ทำผิดกฎแห่งกรรมจึงถูกสาปให้กลายเป็นผีปอบไปตลอดชีวิต กรรมจากอดีตชาติ อีกแนวคิดหนึ่งคือ เชื่อว่าคนที่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือเบียดเบียนผู้อื่นมากในอดีตชาติ กลับมาเกิดใหม่แล้วต้องรับกรรมเป็นปอบ การตรวจจับและกำจัดผีปอบ ในสังคมโบราณ มีวิธีหลายแบบในการ "ตรวจสอบ" ว่าใครเป็นปอบ เช่น ใช้พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น การทำพิธีเข้าทรง ใช้หมอผีหรือหมอธรรม (หมอพื้นบ้าน) ตรวจสอบ ใช้การสังเกตอาการ เช่น ผู้ที่ร่างกายซูบผอมผิดปกติ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม อาจถูกสงสัยว่าเป็นปอบ ในบางพิธี มีการทำ "ขันธ์ 5" หรือใช้พระเวทขับไล่ปอบออกจากร่าง ความเชื่อเรื่องผีปอบในปัจจุบัน แม้ว่าสังคมไทยปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ในชนบทหลายแห่งยังมีความเชื่อเรื่องปอบอยู่ ปัจจุบันมักมีข่าวเกี่ยวกับ "หมู่บ้านผีปอบ" เช่น การไล่ผี ไล่ปอบ หรือการเชิญหมอผีมาทำพิธีขับไล่ บางพื้นที่มีการจัด "พิธีกรรมขับปอบ" เพื่อความสบายใจของชุมชน แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยสรุปแล้วผีปอป ผีปอบ คือการสะท้อนความกลัวในสังคมโบราณเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับและการผิดศีลธรรม แม้ปัจจุบันจะถือว่าเป็นตำนานพื้นบ้าน แต่ผีปอบก็ยังคงมีบทบาทในความเชื่อ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทยอยู่เสมอ

...อ่านต่อ
ประวัติและตำนานของแม่นาคพระโขนง

ประวัติและตำนานของแม่นาคพระโขนง แม่นาคพระโขนง เป็นหนึ่งในตำนานผีพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน โดยมีทั้งในรูปแบบนิทานพื้นบ้าน บทละคร ภาพยนตร์ และวรรณกรรม วันนี้เราพามาดูประวัติของแม่นาคกันครับ เรื่องเล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือราวต้นรัตนโกสินทร์ มีหญิงสาวชื่อ "นาค" อาศัยอยู่ริมคลองพระโขนง (ปัจจุบันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ฝั่งพระโขนง) นางนาคเองนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก และมีคู่รักชื่อ "มาก" (บางฉบับเรียกว่า "พ่อมาก") ทั้งสองรักกันอย่างลึกซึ้ง และแต่งงานกัน ในเวลาต่อมาไม่นาน นางนาคตั้งครรภ์ แต่ในขณะนั้น พ่อมากถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ระหว่างที่พ่อมากไม่อยู่ นางนาคได้เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าขณะคลอดลูก เนื่องจากการทำคลอดในอดีตยังไม่ทันสมัยนัก ด้วยความรักและผูกพันอันแรงกล้า แม่นาคจึงกลายเป็น "ผี" ที่ยังไม่ยอมไปเกิด เพราะต้องการอยู่รอพ่อมาก เมื่อพ่อมากกลับมา เขาไม่รู้ว่านางนาคและลูกได้เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งสองอยู่กินกันเหมือนเดิม แต่ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัว และพยายามบอกพ่อมากว่านางนาคเป็นผี พ่อมากไม่เชื่อ จนมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น ขณะที่นางนาคทำอาหาร เธอทำของตกใต้เรือน แล้ว "เหยียดแขนยาวผิดธรรมชาติ" ไปเก็บ พ่อมากเห็นและเริ่มเชื่อว่านางนาคไม่ใช่มนุษย์ จึงหนีไปซ่อนตัวที่วัดมหาบุศย์ (ซึ่งถือเป็นเขตอภัยทาน ผีไม่สามารถล่วงล้ำได้) แม่นาคเสียใจและอาละวาด จนชาวบ้านหวาดผวาไปตามๆกัน ในที่สุด มีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม (บางตำนานระบุว่าเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)) มาปราบและปลดปล่อยดวงวิญญาณแม่นาคให้ไปสู่สุคติ ความเชื่อและวัดมหาบุศย์ ปัจจุบัน "วัดมหาบุศย์" (พระโขนง) เป็นสถานที่ที่คนไทยเชื่อว่าแม่นาคสถิตอยู่ และมีศาลแม่นาคพระโขนงให้สักการะ ซึ่งในแต่ละวันมีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปขอพรในเรื่องความรัก การมีลูก และการเดินทางปลอดภัยโดยเฉพาะเรื่อง ความรัก คนเชื่อว่าแม่นาคมีจิตเมตตา จะช่วยดลบันดาลให้สมหวังในความรัก ลักษณะของแม่นาคในตำนาน แม่นาคถูกพรรณนาเป็นหญิงสาวผมยาว สวมชุดไทยโบราณ (บางทีเป็นสีเขียวอ่อน) อุ้มทารก หรือมีลูกน้อยอยู่ด้วย มีบุคลิกที่เต็มไปด้วยความรักบริสุทธิ์ แต่ก็น่าสะพรึงกลัวเมื่อถูกพรากจากคนรัก แม่นาคในวัฒนธรรมสมัยใหม่ เรื่องแม่นาคพระโขนงได้รับการดัดแปลงหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์ชื่อดัง เช่น นางนาก (1999) และ พี่มาก..พระโขนง (2013) ที่เป็นเวอร์ชันตลก-รักโรแมนติก ละครเวที และนิยายหลายเรื่อง เพลงไทยเกี่ยวกับแม่นาคก็มีมากมาย เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับประวัติเรื่องเล่าและตำนานของย่านาคหรือแม่นาคพระขโนงที่เล่าสืบกันต่อๆกันมา ท่านเป็นหญิงที่มั่นคงในความรักแม้ว่าจะไม่อยู่ในโลกมนุษย์แล้วก็ตามแต่ความรักและความผูกพันกับพี่มากซึ่งเป็นคู่รักก็ไม่จางหายไปแม้แต่วินาทีเดียว ช่างเป็นเรื่องราวความรักที่นิรันด์และน่าหดหู่ในคราวเดียวเลย

...อ่านต่อ
ประวัติและตำนานการกำเนิดของพญาครุฑ

ประวัติและตำนานการกำเนิดของพญาครุฑ พญาครุฑ เป็นสัตว์กึ่งเทพในตำนานที่สำคัญอย่างยิ่งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และได้รับการนับถือแพร่หลายในวัฒนธรรมไทย ทั้งในฐานะสัญลักษณ์แห่งอำนาจราชวงศ์ และในทางศาสนา ต้นกำเนิดของพญาครุฑ 1. กัศยปะมุนี (ท้าวทัศรถ) และชายาทั้งสอง: กัศยปะมุนี: ในตำนานฮินดู กัศยปะมุนีเป็นหนึ่งในฤษีผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุตรของพระพรหม และถือเป็นบิดาแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทพ อสูร มนุษย์ นาค ครุฑ และสัตว์ต่างๆ ในบริบทของไทย บางครั้งจะมีการเชื่อมโยงหรือเทียบเคียงกับท้าวทัศรถ (พระบิดาของพระรามในรามายณะ) ซึ่งแสดงถึงความสำคัญในฐานะผู้ให้กำเนิด นางวินตา (นางวิมาดา/นางทาสี): เป็นหนึ่งในชายาหลายองค์ของกัศยปะมุนี นางเป็นมารดาของพญาครุฑและอรุณ (สารถีของพระอาทิตย์) มีลักษณะเป็นผู้มีคุณธรรม แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมจากการพนัน นางกัทรุ (นางกัทรี): เป็นชายาอีกองค์ของกัศยปะมุนี และเป็นมารดาของพญานาคทั้งปวง มีลักษณะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ซึ่งเป็นชนวนเหตุของความบาดหมาง 2. การพนันและผลกรรม: เรื่องราวการพนันเกี่ยวกับสีของม้าอุไฉศรพเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง นางวินตาเห็นว่าม้ามีสีขาวบริสุทธิ์ แต่ด้วยกลอุบายของนางกัทรุที่สั่งให้เหล่านาคแปลงกายเป็นขนสีดำแทรกอยู่ในตัวม้า ทำให้นางวินตาเข้าใจผิดและแพ้พนัน ผลจากการแพ้พนัน ทำให้นางวินตาและอรุณผู้เป็นบุตรต้องตกเป็นทาสรับใช้นางกัทรุและเหล่านาคเป็นเวลานาน สภาพความเป็นทาสนี้สร้างความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งให้กับนางวินตา 3. การปฏิสนธิและการประสูติของพญาครุฑ: ด้วยฤทธิ์อำนาจของกัศยปะมุนีและการบำเพ็ญตบะของนางวินตา พญาครุฑจึงปฏิสนธิในครรภ์ของนาง การตั้งครรภ์และการประสูติของพญาครุฑนั้นแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป กล่าวกันว่าเมื่อถึงกำหนดคลอด พญาครุฑได้กำเนิดออกมาพร้อมกับรัศมีอันเจิดจ้าและพลังมหาศาล ร่างกายขยายใหญ่จนทำให้โลกสั่นสะเทือน เหล่าเทพและฤษีต่างตกตะลึงในอานุภาพ บางตำนานกล่าวว่า พญาครุฑมีร่างกายเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งนกอินทรี มีจะงอยปากและกรงเล็บที่แข็งแกร่ง ปีกขนาดใหญ่ที่สามารถพัดให้เกิดพายุได้ และมีพละกำลังมหาศาล 4. การรับรู้ถึงความทุกข์ของมารดาและการตัดสินใจช่วยเหลือ: เมื่อพญาครุฑเติบโตขึ้นและทราบถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าของมารดาที่ต้องตกเป็นทาสรับใช้เหล่านาค ความกตัญญูและความโกรธแค้นก็ประทุขึ้นในใจ พญาครุฑตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือมารดาให้พ้นจากพันธนาการนี้ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความยากลำบากเพียงใดก็ตาม 5. การเดินทางไปชิงน้ำอมฤต: เหล่านาคได้แจ้งเงื่อนไขแก่พญาครุฑว่า หากต้องการไถ่มารดาให้เป็นอิสระ จะต้องนำน้ำอมฤตจากสวรรค์มาให้ พญาครุฑจึงออกเดินทางไปยังสวรรค์เพื่อชิงน้ำอมฤต ซึ่งเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตราย ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้กับเหล่าเทพผู้รักษา รวมถึงพระอินทร์ผู้ทรงวัชระ ด้วยพละกำลังและฤทธิ์เดชอันเหนือกว่า พญาครุฑสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และชิงน้ำอมฤตมาได้สำเร็จ 6. ข้อตกลงและการผิดสัญญาของนาค: เมื่อพญาครุฑนำน้ำอมฤตมาถึง เหล่านาคได้วางอุบายโดยขอให้วางน้ำอมฤตไว้บนพื้นและจะทำพิธีบูชาก่อนดื่ม เมื่อพญาครุฑวางน้ำอมฤต เหล่านาคก็รีบดื่มกินน้ำอมฤตก่อนที่พญาครุฑจะทันได้ไถ่มารดาอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ด้วยอำนาจของพระนารายณ์หรือด้วยอานุภาพของน้ำอมฤตเอง ทำให้เพียงแค่เลียน้ำอมฤต เหล่านาคก็ได้รับฤทธิ์เดชและความเป็นอมตะบางส่วน แต่ลิ้นของพวกเขาก็ถูกคมหญ้าบาด ทำให้ลิ้นของนาคจึงมีสองแฉกแต่นั้นมา (เป็นความเชื่อที่ปรากฏในบางตำนาน) 7. การได้รับพรและการเป็นพาหนะของพระนารายณ์: ด้วยความกล้าหาญ ความกตัญญู และพลังอำนาจของพญาครุฑ พระนารายณ์ทรงเล็งเห็นถึงคุณสมบัติอันโดดเด่น จึงประทานพรให้พญาครุฑเป็นอมตะโดยไม่ต้องดื่มน้ำอมฤต และให้มีอำนาจในการจับนาคกินได้ นอกจากนี้ พระนารายณ์ยังทรงเลือกพญาครุฑให้เป็นพาหนะประจำพระองค์ ซึ่งเป็นการยกย่องและแสดงถึงความสำคัญของพญาครุฑในจักรวาลวิทยา 8. บทบาทและความเชื่อในวัฒนธรรมไทย: ในวัฒนธรรมไทย พญาครุฑไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ในตำนาน แต่ได้รับการยกย่องให้เป็น สัญลักษณ์แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และ อำนาจแห่งรัฐ ปรากฏในตราแผ่นดิน ธงชาติ (ในอดีต) และสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการต่างๆ ความเชื่อใน อานุภาพการปกป้องคุ้มครอง จากภัยอันตราย สิ่งชั่วร้าย และคุณไสยต่างๆ เป็นสิ่งที่ฝังลึกในสังคมไทย การบูชาหรือการมีรูปเคารพพญาครุฑจึงเป็นที่นิยม พญาครุฑยังเป็นสัญลักษณ์ของ ความเจริญรุ่งเรือง ยศถาบรรดาศักดิ์ และความซื่อสัตย์

...อ่านต่อ
พระพุทโธน้อย พระเครื่องในตำนาน - คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

พระพุทโธน้อยเป็นพระเครื่องที่มีความสำคัญและเป็นที่เคารพศรัทธาอย่างสูง สร้างโดยคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ฆราวาสผู้มีศีลาจารวัตรและญาณบารมีสูงยิ่ง ประวัติความเป็นมาของพระพุทโธน้อยและคุณแม่บุญเรือนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม (พ.ศ. 2437 - 2507) ชาติกำเนิดและการศึกษา: คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ที่คลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) ในครอบครัวที่ยากจน บิดาชื่อนายยิ้ม กลิ่นผกา มารดาชื่อนางสวน กลิ่นผกา แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนในระบบ แต่ท่านเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ใฝ่ในการศึกษาธรรมะ และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติธรรมและญาณบารมี: คุณแม่บุญเรือนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ท่านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนเชื่อกันว่าท่านบรรลุญาณขั้นสูง มีอภิญญา สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆ และมีพลังจิตที่เข้มแข็ง ท่านเป็นที่เคารพเลื่อมใสในหมู่สงฆ์และฆราวาส การช่วยเหลือผู้อื่น: ด้วยเมตตาจิตและญาณบารมี คุณแม่บุญเรือนได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก ทั้งในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยการอธิษฐานและน้ำมนต์ การให้คำแนะนำธรรมะ และการช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนเป็นที่เลื่องลือและศรัทธา การสร้างวัตถุมงคล: คุณแม่บุญเรือนได้สร้างวัตถุมงคลหลายชนิด เพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ผู้ศรัทธา โดยวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือ พระพุทโธน้อย พระพุทโธน้อย การสร้าง: พระพุทโธน้อยสร้างขึ้นที่วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัดนอก ธนบุรี ในปี พ.ศ. 2494 โดยคุณแม่บุญเรือนได้ร่วมสร้างและอธิษฐานจิตปลุกเสก จำนวนพิมพ์และลักษณะ: พระพุทโธน้อยมีการสร้างหลายพิมพ์

...อ่านต่อ


เทคโนโลยีและความบันเทิง


วิธีสร้าง Messaging API Line เพื่อตอบอัตโนมัติใน Line official account

Creating a Messaging API for a LINE Official Account to enable automatic replies is not too difficult. You can follow these steps: 1. Create a LINE Official Account Go to LINE Official Account Manager Sign in with your LINE account Click "Create a new account" and fill in the required information

...อ่านต่อ


สไตล์ แฟชั่น และความงาม




โลกของสัตว์เลี้ยง


มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลิวคีเมีย- Leukemia) โรคอันตรายที่ห้ามมองข้ามของน้องแมว

ลิวคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว ในแมว (Feline Leukemia Virus - FeLV) เป็นกลุ่มของโรคมะเร็งที่เริ่มต้นในไขกระดูก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่ภายในกระดูก โดยลิวคีเมียเกิดขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเจริญเติบโตผิดปกติและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะเบียดบังการสร้างเซลล์เม็ดเลือดปกติ ทำให้ร่างกายขาดเซลล์เม็ดเลือดที่ทำหน้าที่สำคัญ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจน เกล็ดเลือดที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด และเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ อาการของลิวคีเมีย อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของลิวคีเมีย แต่โดยทั่วไปอาจมีอาการดังนี้ อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ซีด มีไข้ หรือหนาวสั่น ติดเชื้อง่าย เลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน มีจุดหรือจ้ำเลือดตามตัว ปวดกระดูกหรือข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต ตับหรือม้ามโต น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ การแพร่กระจายของเชื้อโรค ไวรัสลิวคีเมียสามารถติดต่อจากแมวสู่แมวได้หลายทาง เช่น การเลียกัน หรือใช้ชามอาหาร น้ำ และอุปกรณ์ร่วมกัน การกัดกัน การติดจากแม่แมวสู่ลูกแมวขณะตั้งครรภ์หรือให้นม การถ่ายเลือด (หากไม่ได้คัดกรองเลือดก่อน) โดยเฉพาะแมวที่ออกไปนอกบ้านบ่อย หรืออาศัยร่วมกับแมวหลายตัว มีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น การรักษาลิวคีเมีย มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดของลิวคีเมีย ระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย วิธีการรักษาหลักๆ เคมีบำบัด (Chemotherapy): การใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง รังสีรักษา (Radiation therapy): การใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell transplantation) หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone marrow transplantation): การเปลี่ยนไขกระดูกที่ถูกทำลายด้วยไขกระดูกใหม่ที่แข็งแรง การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy): การใช้ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง การป้องกัน ฉีดวัคซีนป้องกันลิวคีเมีย: แมวควรได้รับวัคซีนตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะแมวที่มีความเสี่ยงสูง เลี้ยงระบบปิด: ลดความเสี่ยงในการสัมผัสแมวที่อาจติดเชื้อ ตรวจเลือด: แนะนำให้ตรวจหา FeLV หากรับแมวใหม่เข้าบ้าน หรือตรวจประจำปี หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกันกับแมวที่ยังไม่ได้รับการตรวจโรค ผลกระทบต่อสุขภาพแมว ลิวคีเมียส่งผลต่อสุขภาพของแมวในหลายด้าน เช่น: ภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้ออื่นง่าย เช่น โรคทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือช่องปาก โลหิตจาง อ่อนเพลีย กินน้อย น้ำหนักลด มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือเนื้องอกในอวัยวะต่างๆ อายุขัยสั้นลง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การดูแลแมวที่ติดเชื้อ แมวที่ติดเชื้อ FeLV ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เช่น: พาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำ ให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เลี้ยงในบ้าน หลีกเลี่ยงการติดเชื้อแทรกซ้อน หากเลี้ยงแมวและไม่แน่ใจว่าแมวติดเชื้อหรือไม่ ควรพาไปตรวจเลือดที่คลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์ เพื่อความสบายใจและการวางแผนดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกันนะครับ

...อ่านต่อ